วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

น้ำทับทิม และกะเพรากลิ่นหอมลดน้ำตาลและไขมันได้

น้ำทับทิม
ทับทิม เป็นผลไม้ที่สวยงามและมีกลิ่นหอมมาก สามารถปลูกได้ในประเทศไทย แต่ที่แท้จริงเป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากเปอร์เซีย (ประเทศอิหร่านในปัจจุบัน) และมีแถบอินเดียตอนเหนือบริเวณเทือกเขาหิมาลัย
ในเมืองไทย ทับทิมดูจะเป็นผลไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่นิยมนำไปถวายแด่พระแม่กวนอิม ในประวัติศาสตร์ พบว่าได้มีการนำทับทิมมาทำเป็นยารักษาโรคตั้งแต่ 80 ปีมาแล้ว ในประเทศเปอร์เซียโบราณมีความเชื่อว่า คุณค่า ทางอาหารทุกชนิดที่มีอยู่ในผลไม้ต่างๆ นั้น รวมกันอยู่ในทับทิม ทับทิมเป็นผลไม้ที่ได้รับการเพาะปลูกอย่างแพร่หลาย โดยมีการใช้ทับทิมเป็นสัญลักษณ์ของผลไม้ ถือว่าเป็นผลไม้จากสวรรค์หรือเป็นของขวัญจากพระเจ้า
วิธีทำ
นำทับทิมแกะเอาแต่เนื้อ 1 ถ้วย ใส่ในผ้าขาวบางขยำเติมน้ำต้มสุข 1 ถ้วย ขยำซ้ำอีก กะว่าให้ได้เนื้อออกมาจากเมล็ดมากที่สุด จากนั้นนำมาเติมน้ำเชื่อมและเกลือป่น คนให้ละลาย ชิมตามชอบ
ส่วนผสม
เนื้อลูกทับทิม 1 ถ้วยตวง
น้ำต้มสุก 1 ถ้วยตวง
น้ำเชื่อม ตามชอบ
เกลือ ตามชอบ
ประโยชน์และคุณค่าทางสมุนไพร
ทับทิมในตำราแพทย์สมัยโบราณ ในผลทับทิมมีวิตามินมากมายหลายชนิด รวมทั้งแมกนีเซียมและแคลเซี่ยม ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบฟอกโลหิต และ ระบบการหมุนเวียนในร่างกาย ในตำราแพทย์โบราณของเปอร์เซีย (ซึ่งถือว่าเป็นต้นตำรับของวิชาแพทย์ตะวันตกในปัจจุบัน) ระบุว่าทับทิมมี ประโยชน์ดังต่อไปนี้
การฟื้นฟูสู่สภาพเดิมของหัวใจและตับ
การฟอกไตและท่อปัสสาวะ
สมรรถนะในการส่งเสริมการย่อย
ขจัดไขมันส่วนเกิน
เป็นยาบำรุงกำลัง
ช่วยป้องกันการแพ้ท้อง
ช่วยปรับฮอร์โมนในวัยหมดประจำเดือน
ปรับปรุงระบบการฟอกและหมุนเวียนโลหิต
การฟื้นฟูจากโรคเบาหวาน
สมรรถนะในการกลั้นเสมหะ
ต่อต้านการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศและเพิ่มพลัง
ป้องกันโรคขี้หลงขี้ลืมในผู้สูงอายุ
ทำให้ผิวหน้าสวย





กะเพรากลิ่นหอมลดน้ำตาลและไขมันได้
ข้าวผัดกระเพรา เป็นอาหารที่ทุกคนมักจะรู้จัก และคุ้มเคยอย่างดี สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเป็นอาหารที่ปรุงง่าย ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายแถมรสชาติก็อร่อย
นอกจากจะมีกลิ่นหองเฉพาะตัว ยังมีสรรพคุณทางยามากมาย เช่น ใบสดของกะเพรามีน้ำมันหอมระเหยอยู่ ซึ่ง ประกอบด้วย linaloo และmethyl chavicol เป็น ยาแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อปวดท้อง บำรุงธาตุ ขับผายลม แก้อาการจุกเสียดในท้อง ให้ใช้ใบสด หรือยอดอ่อน สัก 1 กำมือ มาต้มให้เดือด แล้วกรองเอาน้ำดื่ม แต่ถ้าใช้กับเด็ก ทารกให้นำเอามาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำนำมา ผสมกับน้ำยามหาหิงคุ์แล้วใช้ทาบริเวณ รอบๆ  สะดือ และทาที่ฝ่าเท้า แก้อาการปวดท้องของ เด็กได้ และน้ำที่เราเอามาคั้นออกจากใบยังใช้ ขับเสมหะ ขับเหงื่อ หรือ ใช้ทาภายนอกแก้โรค ผิวหนัง กลาก เกลื้อนได้ นอกจากนี้ ใบสดยังนำมาผัด หรือ          นำมาแกงเป็นอาหาร ได้อีกด้วยสำหรับใบแห้ง ใช้ชงดื่มกับน้ำ แก้ท้องขึ้น และน้ำมันที่ได้จากใบกะเพรานั้น สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด ช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางอย่าง และมีฤทธิ์ฆ่ายุงได้ ซึ่งจะมีฤทธิ์ได้นาน 2 ชั่วโมง เมล็ดกะเพรา เมื่อนำไปแช่น้ำเมล็ดก็จะพองตัวเป็นเมือก ขาว ให้ใช้พอกในบริเวณตา เมื่อตามีผงหรือฝุ่น ละอองเข้า ผงหรือฝุ่นละออง จะออกมา ซึ่งจะไม่ทำให้ตาของเราช้ำ รากกะเพรา ใช้รากที่แห้งแล้ว ชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ ทั้งนี้มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่า กะเพรา มีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือด และลดไขมันได้

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เห็ดหลินจือแดง อีกทางเลือกในการป้องกันโรคมะเร็ง


เห็ดหลินจือแดง อีกทางเลือกในการป้องกันโรคมะเร็ง
            
เป็นช่วงเวลากว่าสองพันปี ที่มีการค้นพบเห็ดหลินจือ และได้มีการนำมาค้นคว้าวิจัยเพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ เป็นข้อมูลการแพทย์ทางเลือก รวมทั้งการวิจัยด้านมะเร็งในการป้องการและยับยั้ง ในทางพฤกษาศาสตร์ พบว่าเห็ดหลินจือ แบ่งประเภทตามลักษณะตามสีและรูปร่างได้ 6 ชนิดด้วยกัน คือหลินจือ แดง ดำ เหลือง ขาว เขียว และม่วง ทั้งนี้ในการศึกษาวิจัยค้นพบว่าเห็ดหลินจือแดงมีสารที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุดจากในบรรดา 6 ชนิดที่กล่าวมา
เห็ดหลินจือแดงนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นสมุนไพรชั้นสูงซึ่งหายาก มีคุณสมบัติทางยามากและมีคุณค่าเทียบเท่าโสมเลยทีเดียวจากการวิจัยค้นพบว่าเห็ดหลินจือแดงนั้น อุดมด้วยสารต่างๆ มากมายที่ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์กับร่างกาย และมีหลักการในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันมะเร็งในร่างกายเรา จากการวิจัยพบว่า เห็ดหลินจือแดง อุดมด้วยพลังจากธรรมชาติและให้ประโยชน์มหาศาลต่อร่างกาย ซึ่งคุณสมบัติอันโดดเด่นของเห็ดหลินจือแดงก็คือ ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรค กำจัดสารพิษในร่างกาย อีกทั้งยังกระตุ้นเซลล์ให้ทำงานเป็นปกติ สำหรับการป้องกันโรคมะเร็ง เห็ดหลินจือแดงเพิ่มความต้านทานโรคมะเร็งได้ดี เพราะมี โปลิแซ็กคาไรน์ สารสำคัญที่ช่วยสร้างระบบคุ้มกันของร่างกาย ช่วยเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาวเพื่อจัดการกับเชื้อโรคต่างๆ ที่สำคัญยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยสกัดยับยั้งการเกิดมะเร็งอีกทาง
โดยเห็ดหลินจือแดง จะช่วยปกป้องและยับยั้งมะเร็ง ด้วย 4 แนวทางหลักด้วยกันคือ
ใช้เป็นอาหารเสริม เพื่อลดอาการข้างเคียงจากการบำบัดด้วยเคมีหรือการฉายแสง ทำให้ร่างกายสดชื่น ช่วย                          กระตุ้นร่างกายให้มีภูมิต้านทานมากขึ้นยับยั้งป้องกันการแพร่กระจายของมะเร็งและมีชีวิตยืนยาวขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น และยื่นระยะเวลาการมีอายุต่อไป แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบุคคลมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ช่วยให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น นอนหลับสบาย ลดความกังวล และบรรเทาอาการปวดให้ลดลง
ป้องกันการเกิดซ้ำใหม่ของมะเร็ง ช่วยบำรุงร่างกาย และเสริมภูมิคุ้มกัน ซึ่งลดปัจจัยเสี่ยงในการกลับมาหรือเกิดขึ้นซ้ำของมะเร็ง
          ในปัจจุบันได้มีการนำเห็ดหลินจือแดงจากประเทศญี่ปุ่น มาสกัดด้วยเทคโนโลยีทันสมัยแต่ยังคงคุณค่าไว้ทุกประการไว้ในรูปแบบของอาหารเสริม เพื่อความสะดวกของผู้บริโภค และที่สำคัญสามารถรับประทานติดต่อกันได้นาน โดยไม่มีสารตกค้างหรือผลข้างเคียงแต่ประการใด ซึ่งเห็ดหลินจือแดงเหมาะกับผู้ที่อยู่ในภาวะความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งอย่างผู้ที่ชอบรับประทานสัตว์เนื้อแดง หรืออาหารไหม้เกรียมจากการทอง ปิ้ง ย่าง ผู้ที่ชอบสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำหรือผู้ที่ได้รับผลข้างเคียงจากการฉายแสงบำบัดจึงนับว่าเห็ดหลินจือแดง เป็นอีกทางเลือกเพื่อการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงและห่างไกลจากมะเร็ง
ข้อมูลอ้างอิงจากงานประชุมวิทยาการกรมพัฒนาการแพทย์ทางเลือก เรื่องสารต้านมะเร็งโดยนายแพทย์จักรกฤษณ์ ภูมิสวัสดิ์ สาธารณสุขนิเทศก์ เขต 16 กรุงเทพมหานคร/รองเลขาธิการ กรมพัฒนาการแพทย์ทางเลือกกระทรวงสาธารณสุข
http://www.michi.co.th



มะรุมเป็นไม้ที่มีประโยชน์อย่างมากมายทั้งการรักษาแบบแผนโบราณและแผนปัจจุบัน ประโยชน์หนึ่งที่ได้รับจากมะรุมที่หลายคนคาดไม่ถึงนั่นคือ มะรุมต้านมะเร็ง!! จริงหรือไม่ เรื่องนี้ได้รับการบันทึกโดยสถาบันที่วิจัยรวมทั้งจาก เอกสารอ้างอิงFahey,Jed W. Sc.D. Moringa oleifera: A Review of the Medical Evidence for Its Nutritional, Therapeutic, and Prophylactic Properties เรามาติดตามเรื่องราวของพืชชนิดนี้กันดีกว่า ว่าประโยชน์ของมันครอบจักรวาลจริงๆ
มะรุม สมุนไพรมหัศจรรย์ (Moringa-Miracle Tree)
มะรุมเป็นไม้ยืนต้นของไทยชนิดหนึ่งที่โตเร็ว ทนแล้งสูง สามารถปลูกได้ง่ายในเขตร้อน มะรุมมีประโยชน์มากมาย ทั้งทางด้านอาหาร ยารวมทั้งด้านอุตสาหกรรม
ชื่อพื้นเมือง ผักอีฮึม ผักอีฮุม มะค้อนก้อม
มะรุมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางเรือนยอดกลมและโปร่ง เจริญเติบโตเร็ว ต้นที่โตเต็มที่อาจสูงถึง 4 เมตรและออกดอกภายในปีแรกที่ปลูก ใบมะรุมเป็นใบประกอบแบบขนนก ผิวใบด้านล่างสีอ่อนกว่าและมีขนเล็กน้อยขณะที่ใบยังอ่อน ใบมีรสหวานมัน มักออกดอกในฤดูหนาว มะรุมบางชนิดออกดอกหลายครั้งต่อปี สำหรับดอกมะรุมนั้นมีลักษณะเป็นดอกช่อ สีขาว กลีบเรียง มี 5 กลีบ กลีบดอกมี 5 กลีบแยกกัน ดอกมีรสขม หวาน มันเล็กน้อย ผลเป็นฝักยาว เปลือกสีเขียวมีส่วนคอดและส่วนมน เป็นระยะ ๆ ตามยาวของฝัก ฝักยาว 20 – 50 ซม. ฝักมีรสหวาน เมล็ดเป็นรูปสามเหลี่ยม มีปีกบางหุ้ม 3 ปีก เส้นผ่าศูนย์กลางของเมล็ดประมาณ 1 ซม.
การปลูก มะรุมเป็นพืชที่มีเติบโตอยู่ในประเทศแถบเอเชีย เช่น ศรีลังกา อินเดีย เป็นต้น และยังพบในเขตเอเชียไมเนอร์และแอฟริกา จัดว่าเป็นพืชปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด โดยมีความต้องการน้ำและความชื้นในปริมาณปานกลาง การขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดหรือการปักชำกิ่ง จะได้โดยงอก มักใช้เวลาประมาณ 2สัปดาห์จึงจะให้ต้นกล้าที่สูงประมาณ 10-20 เซนติเมตรมะรุมกับประโยชน์ทางยา
ส่วนของใบมะรุม
แก้เลือดออกตามไรฟัน ใช้ถอนพิษไข้ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แก้อักเสบ ขับปัสสาวะ แก้แผล ลดความดันโลหิต อีกทั้งป้องกันโรคมะเร็งได้อีกด้วย
ดอก  เป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ใช้แก้ไข้หัวลม ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และยังป้องกันโรคมะเร็งได้อีก
ยอดอ่อนใบมะรุม ใช้ถอนพิษไข้
เมล็ดของมะรุม  สำหรับเมล็ดนำมาใช้ปรุงเป็นยาแก้ไข้ แก้ปวดตามข้อ  แก้บวม ป้องกันโรคมะเร็ง
ราก         มีรสเผ็ด หวาน ขม สรรพคุณ บำรุงไฟธาตุ รักษาโรคหัวใจ แก้อาการบวม  รักษาโรคไขข้อ
ฝักมะรุม  ใช้แก้ไข้ ลดความดันโลหิต ป้องกันโรคมะเร็ง
เปลือกและลำต้น   มีสรรพคุณขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ แก้ลมอัมพาต ป้องกันมะเร็ง คุมกำเนิด คุมธาตุอ่อน ๆ เคี้ยวกินช่วยย่อยอาหาร
ยางของมะรุม   ยังมีประโยชน์ในการฆ่าเชื้อไทฟอยด์ ซิฟิลิส แก้ปวดฟัน
คุณค่าทางอาหารใบมะรุมสดใช้กินเป็นอาหาร ส่วนใบแห้งสามารถทำเป็นผงเก็บไว้ได้นานซึ่งไม่ทำให้คุณค่าทางอาหารเสียแต่ประการใด ใบมะรุมนั้นมีมีเหล็กสูงกว่าผักขม วิตามิน เอ ที่สูงกว่าแครอท มีวิตามี ซี สูงกว่าส้ม มีแคลเซียมสูงกว่านม อีกทั้งมีโปแตสเซียมสูงกว่ากล้วย
ดอกของมะรุมยังช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แก้หวัด ป้องกันไม่ให้เกิดโรคมะเร็ง
เมื่อเราจะแยกคุณค่าทางด้านอาหารออกมา เราจะพบว่า ฝักมะรุม 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 32 กิโลแคลอรี่ ซึ่งประกอบด้วย แคลเซียม 9 มิลลิกรัม เส้นใย 1.2 กรัม เหล็ก 1.5 มิลลิกรัม วิตามินซี 262 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม วิตามินบีหนึ่ง 0.05 มิลลิกรัม วิตามินเอ 532 IU ไนอาซิน 0.6 มิลลิกรัม
ส่วนน้ำมันที่ได้จากการคั้นเมล็ดสดของมะรุมสามารถใช้เป็นน้ำมันปรุงอาหารได้อีกด้วย


ประโยชน์อื่น ๆ
เมล็ดของมะรุมสามารถคั้นได้น้ำมันที่มีคุณภาพสูงมาก โดยนำไปใช้เป็นอาหารหรือเพื่อนำไปใช้ในด้านการถนอมผิว ส่วนกากที่เหลือนำไปใช้แทนสารส้มในการทำให้น้ำให้ใสและสะอาดได้อีก
ใบและกิ่งนำไปเป็นอาหารสัตว์ซึ่งจะทำให้สัตว์เติบโตดี และป้องกันโรคบางชนิดให้กับสัตว์เลี้ยงได้
ปัจจุบันได้มีผู้ผลิตอาหารเสริมมากมายได้นำมะรุมมาผลิตเป็นสินค้าเพื่อเป็น อาหารเสริมให้กับผู้ที่ต้องการนำมะรุมไปรับประทาน ไม่ว่าจะเป็น กาแฟมะรุม ,ชามะรุม หรือแม้แต่ในรูปของแคปซู
เราจะเห็นได้ว่ามะรุมนั้นเป็นพืชที่ทรงคุณค่ามากทั้งการเป็นพืชครัวเรือน ที่สามารถนำมาใช้ได้ตั้งแต่ใบจดราก รวมทั้งนำไปใช้ในวงการแพทย์ด้านต่างๆ ฉนั้นอยากมีสุขภาพดีเรามารับประทานมะรุมกันเถอะค่ะ



ผลยอเพื่อสุขภาพ

    
ผลยอเพื่อสุขภาพ
ผลยอหรือลูกยอนับว่าเป็นพืชสมุนไพรที่ดีอีกอย่างหนึ่งแต่จะต้องเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงในที่นี้ให้เอาผลยอหรือลูกยอมาทำให้คล้ายๆชาเอามาชงดื่มทำให้สุขภาพดีอยู่เสมอโดยเฉพาะเอามาทำเป็ฯยาสมุนไพรบำรุงธาตุ คุมธาตุ ช่วยย่อย
ความจริงผลยอดิบที่แก่จัดนี้เอามาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วโขลกทำเป็นส้มตำลูกยอก็ได้ด้วยรสชาติดีอร่อยไม่แพ้ส้มตำมะละกอ เลยส่วนใบยอนั้นเอามาแกงอ่อมก็ได้ เอามาใส่ในห่อหมกก็ได้เอามาลวกเป็นผักจ้อมก็ได้อีกอย่างหนึ่ง
ต้นยอนี้เป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ลำต้นเป็นสีน้ำตาลเปลือกเรียบ ใบต้นยอเป็นใบไม้ใหญ่ สีเขียวเป็นมัน ขอบใบเป็นคลื่นดอกสีขาวเล็กๆ แล้วออกผลเป็ฯผลกลมๆรีๆ มีตุ่มเป็นเหมือนตาโดยรอบตะปุ่มตะป่ำ ผลสุกแล้วจะมีกลิ่นเหม็น
สรรพคุณทางยาสมุนไพรของยอมีอยู่ดังนี้ ผลยอบำรุงธาตุช่วยย่อย คุมธาตุได้ดี ช่วยเจริญอาหาร ช่ยขับลมแก้อาการสะอึก แก้อาเจียน รักษาอาการเหงือกอักเสบ ส่วนรากยอเป็นยาระบาย
ใบยอมีแคลเซียมสูง ในปริมาณ 100 กรัมมีแคลเซียมมากถึงร้อยละ 469 มิลลิกรัม มีวิตามิน เอ ร้อยละ 43,333 หน่วยสากล จึงบำรุงกระดูกได้ดีและบำรุงสายตาได้ดีด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กะเพรากลิ่นหอมลดน้ำตาลและไขมันได้

 



กะเพรากลิ่นหอมลดน้ำตาลและไขมันได้

ข้าวผัดกระเพรา เป็นอาหารที่ทุกคนมักจะรู้จัก และคุ้มเคยอย่างดี สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเป็นอาหารที่ปรุงง่าย ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายแถมรสชาติก็อร่อย

นอกจากจะมีกลิ่นหองเฉพาะตัว ยังมีสรรพคุณทางยามากมาย เช่น ใบสดของกะเพรามีน้ำมันหอมระเหยอยู่ ซึ่ง ประกอบด้วย linaloo และmethyl chavicol เป็น ยาแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อปวดท้อง บำรุงธาตุ ขับผายลม แก้อาการจุกเสียดในท้อง ให้ใช้ใบสด หรือยอดอ่อน สัก 1 กำมือ มาต้มให้เดือด แล้วกรองเอาน้ำดื่ม แต่ถ้าใช้กับเด็ก ทารกให้นำเอามาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำนำมา ผสมกับน้ำยามหาหิงคุ์แล้วใช้ทาบริเวณ รอบๆ สะดือ และทาที่ฝ่าเท้า แก้อาการปวดท้องของ เด็กได้ และน้ำที่เราเอามาคั้นออกจากใบยังใช้ ขับเสมหะ ขับเหงื่อ หรือ ใช้ทาภายนอกแก้โรค ผิวหนัง กลาก เกลื้อนได้ นอกจากนี้ ใบสดยังนำมาผัด หรือนำมาแกงเป็นอาหาร ได้อีกด้วย

สำหรับใบแห้ง ใช้ชงดื่มกับน้ำ แก้ท้องขึ้น และน้ำมันที่ได้จากใบกะเพรานั้น สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด ช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางอย่าง และมีฤทธิ์ฆ่ายุงได้ ซึ่งจะมีฤทธิ์ได้นาน 2 ชั่วโมง เมล็ดกะเพรา เมื่อนำไปแช่น้ำเมล็ดก็จะพองตัวเป็นเมือก ขาว ให้ใช้พอกในบริเวณตา เมื่อตามีผงหรือฝุ่น ละอองเข้า ผงหรือฝุ่นละออง จะออกมา ซึ่งจะไม่ทำให้ตาของเราช้ำ รากกะเพรา ใช้รากที่แห้งแล้ว ชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ ทั้งนี้มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่า กะเพรา มีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือด และลดไขมันได้

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สมุนไพรไทย

สมุนไพรไทย
คนไทยเราเมื่อสมัยก่อนมีการเรียนรู้การใช้สมุนไพรรักษาโรคต่าง ๆ ในหมู่บ้านกันสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน เพราะในอดีต ประเทศไทยมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์มากและและสมุนไพรก็มีมากในอดีต จึงถือว่าเป้นภูมิปัญญาที่บรรพบุรุษสั่งสมเอาไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาความรู้และนำไปใช้ประโยชน์
กล้วยน้ำว้า กล้วยน้ำว้าใช้ทำยาได้ทั้งดิบ และสุก มีประโยชน์มากมายมหาศาล อย่างเช่น กล้วยดิบมีสารฝาดสมาน (Astringent) จึงช่วยในการสมานรักษาอาการท้องเสียที่ไม่รุนแรงได้ เป็นการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันผนังกระเพาะลำไส้ไม่ให้เชื้อโรคและอาหารที่มีรสเผ็ดจัด เช่น พริก เข้าไปทำลายผนังกระเพาะ ลำไส้ โดยกินครั้งละครึ่งผลหรือ 1 ผล อาการท้องเสียจะทุเลาลง และยังช่วยรักษาโรคกระเพาะได้อีกด้วย
กระชาย ตามตำราถือว่ากระชายเป็นยาอายุวัฒนะชั้นหนึ่ง เป็นยาเจริญอาหารและบำรุงธาตุทำให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้น ผิวพรรณผุดผ่อง สดใส ชะลอความแก่ แก้ใจสั่น แก้วิงเวียน แน่นหน้าอก แก้แผลในปาก แก้ฝีอักเสบ แก้กลากเกลื้อน
กระเทียม กระเทียมเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณ คือ ช่วยลดปริมาณของคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด แก้อาการท้องอืด และแน่นจุกเสียด โดยให้รับประทานกระเทียมดิบๆ ครั้งละประมาณ 5-7 กลีบหลังอาหาร
ขมิ้นชัน ขมิ้นชันนอกจากจะเป็นสมุนไพรที่นิยมนำมาใช้เป็นเครื่องเทศกันมานานแล้ว ยังมีสรรพคุณเป็นยาได้อีกด้วย เช่น เป็นยาลดกรด แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ขับลม อาหารไม่ย่อย แก้โรคกระเพาะ แก้ปวดท้อง แก้อาการเกร็งกล้ามเนื้อ ทำให้การบีบตัวของลำไส้ลดลง
ขิง ขิงเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ ประโยชน์ของขิงคือช่วยย่อยอาหาร ลดความดัน ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ลดระดับไขมันคอเลสเตอรอล โดยการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากอาหารในลำไส้ แล้วปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระ ช่วยลดอาการอยากเสพยาของคนติดยาเสพติดได้ บรรเทาปวด ลดไข้ ลดอาการเวียนศีระษะ
ตำลึง ตำลึงเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางอาหารสูง ตำลึงถือเป็นยาเย็น ใบช่วยขับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน เจ็บตา ตาแดงและตาแฉะ แก้โรคผิวหนัง และลดน้ำตาลในเลือด
ตะไคร้ ตะไคร้เป็นสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อน เฝื่อน และขมเล็กน้อย นิยมนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงในการประกอบอาหารทุกส่วนของตะไคร้ สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ และแก้อหิวาตกโรค
กระดุมทอง เป็นไม้ล้มลุกที่พบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน หรือตามบ้านเรือนที่ปลูกอาศัยอยู่ เป็นพืชที่ขึ้นได้ง่าย ใบจะสากมีสีเขียวเข้ม ดอกเมื่อบานเต็มที่จะมีสีเหลือง ตามแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่ได้ให้การยอมรับต้นกระดุมทองนี้มากนัก แต่ทางแพทย์แผนโบราณและแพทย์แผนจีนนั้น ถือได้ว่าต้นกระดุมทองนี้มีสรรพคุณทางยาที่สามารถช่วยรักษาโรคเบาหวาน โรคหัวใจและความดันได้เป็นอย่างดี
มะระขี้นก มะระขี้นกเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของไทยอีกชนิดหนึ่งที่มีรสขม มีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ
บัวบก บัวบกเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณหลากหลายทั้งแก้อาการช้ำใน ลดความดันโลหิต
ที่มา  :http://th.wikipedia.org/wiki

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ฟักทอง ประโยชน์เพียบ !!!!

    
 ฟักทอง ประโยชน์เพียบ !!!!
ฟักทองจัดเป็นพืชไม้เถาเลื้อยที่มีผลสีเหลืองตระกูลเดียวกับมะระ สามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลายชนิด ทั้งคาวและหวาน มีประโยชน์ต่อร่างกายแทบทุกส่วนเช่น
- ใบอ่อน เมื่อเทียบกับเนื้อฟักทองซึ่งมีวิตามินเอสูงแล้ว ใบอ่อนจะมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าเนื้อฟักทองด้วย
- ดอก มีวิตามินเอ ฟอสฟอรัส แคลเซียม และมีวิตามินซีเล็กน้อย
- เนื้อฟักทอง อุดมไปด้วย แคลเซียม วิตามินซี ฟอสฟอรัส วิตามินเอสูง ที่สำคัญมี เบต้าแคโรทีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในเนื้อสีเหลืองๆ ของฟักทอง ช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมยังช่วยชะลอความแก่เพราะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหน้ง ทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล ป้องกันโรคผิวหนัง และยังบรรเทาอาการปวดข้อเข่า บั้นเอวได้อย่างดียิ่ง
- เยื่อกลางผลฟักทอง นำไปพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อักเสบหรือปวดได้
- เปลือกฟักทอง ป้องกันการเกิดเบาหวาน เพราะจะช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึ่งสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ อีกทั้งยังช่วยบำรุงตับ ไต ดวงตาอีกด้วย
- เมล็ด มีสารที่ชื่อว่า คิวเคอร์บิติน (cucurbitine) ช่วยฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี แถมยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะและนิ่ว นอกจากนี้ น้ำมันที่ได้จากเมล็ดของฟักทอง ช่วยบำรุงประสาทได้ และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ ขึ้น และช่วยปรับฮอร์โมนเพศชายให้อยู่ในระดับปกติ
เคล็ดลับให้ฟักทองออกผลดกๆ คือต้องคอยเด็ดยอดฟักทองไปลวกจิ้มน้ำพริก หรือ ผัดน้ำมันหอย (ทำอาหาร) บ่อย ๆ จะได้มีฟักทองไว้กินได้ตลอดทั้งปี

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สูตรการทำน้ำตะไคร้หอม ช่วยล้างพิษ...




สูตรการทำน้ำตะไคร้หอม ช่วยล้างพิษ...
น้ำตะไคร้ อาจไม่ใช่ตัวเลือกต้น ๆ ของหนุ่มสาวสมัยนี้ เวลากระหายน้ำ บ้างก็ว่าเหม็น บ้างก็ว่าดื่มยาก แต่รู้ไว้เถอะว่า ช่วยลดพิษของสารแปลกปลอมในร่างกาย ขับลมในลำไส้ทำให้เจริญอาหาร บำรุงสมองช่วยให้สมาธิดี รวมทั้งช่วยลดความดันโลหิต
สูตรน้ำตะไคร้หอม
ส่วนผสม
ตะไคร้           20  กรัม หรือ  1  ต้น
น้ำเชื่อม        15   กรัม หรือ  1  ช้อนคาว
น้ำเปล่า       240  กรัม หรือ 16  ช้อนคาว

วิธีทำ
นำตะไคร้มาล้างให้สะอาด หั่นเป็นท่อน ทุบให้แตก ใส่หม้อต้มกับน้ำให้เดือดกระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำจนเป็นสีเขียว สักครู่จึงยกลง กรองเอาตะไคร้ออก เติมน้ำเชื่อมชิมรสตามชอบ

สูตรการต้มน้ำเชื่อม
ส่วนผสม
น้ำตาลทราย  1 กก.
น้ำเเปล่า        1 ลิตร ครึ่ง

วิธีทำ
ต้มน้ำอย่าเดือดมากแค่พอปุดๆ เล็กน้อย
ใส่น้ำตาลลงไปอย่าให้เดือดมาก แค่ปุดเล็กๆ ก็นำขึ้นจากเตา ถ้าปล่อยให้เดือดมากน้ำเชื่อมจะไม่อร่อยค่ะ

สมูธตี้ใบบัวบก ใบบัวบก

สมูธตี้ใบบัวบก ใบบัวบกมีวิตามินเอสูง แคลเซียม ช่วยบำรุงสายตา สมอง และหัวใจ และมีสรรพคุณต่างๆ อีกมากมาย
ส่วนผสม (สำหรับ 3 ท่าน)
ใบบัวบกหั่นแล้วโขลกให้ละเอียด  1     ถ้วยตวง
น้ำเปล่าต้มสุกอุ่น                          2     ถ้วยตวง
น้ำเชื่อม                                        2     ช้อนโต๊ะ
เกลือเล็กน้อย                                1/4  ข้อนชา
น้ำแข็งป่น                                      2     ถ้วย
นมสดพาสเจอร์ไรส์ชนิดไชมันต่ำ  100  มิลลิลิตร

วิธีการทำ
 1. นำใบบัวบกมาคั้นด้วยน้ำต้มสุกอุ่นแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วพักไว้
2. เตรียมโถปั่นใส่น้ำแข็ง ตามด้วยน้ำใบบัวบก นมสด น้ำเชื่อม และเกลือ ปั่นให้เข้ากันจนได้เนื้อเนียนละเอียด
Tips
 1. ใบบัวบกมีวิตามินเอสูง แคลเซียม ช่วยบำรุงสายตา สมอง และหัวใจ และมีสรรพคุณต่างๆ อีกมากมาย
2. สามารถตกแต่งให้สวยงามด้วยผักหรือผลไม้ที่เราชอบ  




วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

น้ำบีทรูต เพื่อสุขภาพผู้หญิง

น้ำบีทรูต เพื่อสุขภาพผู้หญิง
บีทรูต มีสรรพคุณในการทำความสะอาดตับและลำไส้ตอนล่าง ดีต่อตับและไต ช่วยบำรุงรักษาเซลล์เม็ดเลือดแดง และเสริมความสามารถในการรับออกซิเจนให้แก่เม็ดเลือดแดงถึง 400 เปอร์เซ็นต์ จึงช่วยทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ อีกทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 1 บี2 บี6 กรดโฟลิก แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม และสังกะสี

ส่วน ลูกพลัม หรือ ลูกพรุน หรือ ลูกไหน ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้ จริง ๆ แล้วเป็นผลไม้ชนิดเดียวกัน เพียงแต่ลูกพรุนคือผลจากการนำลูกพลัมมาตากแห้ง ส่วนลูกไหน ก็เป็นชื่อที่คนจีนเรียกขานลูกพลัมนั่นเอง ในลูกพรุน มีคุณค่าอาหารสูงมาก อุดมไปด้วยไฟเบอร์ (เส้นใย) แมกนีเซียม เหล็ก โปแตสเซียม และวิตามินบี สำหรับสาว ๆ ที่อยากลดน้ำหนักกินลูกพรุนเยอะ ๆ จะดีมาก เพราะลูกพรุนมีไขมันต่ำ แคลอรี่น้อย และยังเป็นยาระบายอ่อน ๆ ได้ดีชะงัด

ส่วนผสมเมนูสุขภาพ ประกอบด้วย
บีทรูต 1 ถ้วย
องุ่นม่วง 1 ถ้วย
ลูกพลัม 1 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

วิธีทำ
นำองุ่นม่วงผ่าครึ่ง ไม่ต้องเอาเมล็ดออก หั่นบีทรูตเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า หั่นลูกพลัมเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ (เป็นเครื่องมือที่ทำงานโดยการขูดผักและผลไม้ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ อย่างรวดเร็ว แล้วทำการหมุนด้วยความเร็วสูง เพื่อแยกส่วนที่เป็นน้ำออกจากกาก โดยส่วนที่เป็นน้ำจะถูกแยกออกไปทางช่องที่ไหลไปสู่แก้วรองรับ ในขณะที่ส่วนของกากจะถูกเก็บไว้ในช่องสำหรับรอการกำจัดทิ้งในภายหลัง) แล้วเสิร์ฟพร้อมน้ำแข็งป่นคล้ายเกร็ดหิมะ เพื่อเพิ่มความเย็นสดชื่นให้มากยิ่งขึ้น

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

น้ำมะเขือเทศ ป้องกันโรคกระดูกพรุน

น้ำมะเขือเทศ ป้องกันโรคกระดูกพรุน
นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษเผยสรรพคุณสุดมหัศจรรย์ของน้ำมะเขือเทศ ว่าเป็นผลไม้ที่สามารถช่วยเสริมสร้างกระดูก และป้องกันโรคกระดูกพรุนได้
โดยในมะเขือเทศนั้น มีไลโคพีน และสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย และป้องกันโรคหัวใจได้อีกด้วย
ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต แคนาดา ได้ทำการวิจัยและพบว่า ปัจจุบันนี้มีผู้ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนกว่า 3 ล้านคนทั่วประเทศอังกฤษ จึงได้ทำการทดสอบกับผู้หญิงวัยทอง (50-60 ปี) จำนวน 60 คนทั่วประเทศ โดยให้พวกเธองดกินมะเขือเทศเป็นเวลา 1 เดือน และจากการวิจัยดังกล่าว ให้ผลออกมาว่า ผู้หญิงที่ไม่ได้กินมะเขือเทศเลย จะมีระดับ N-telopeptide ในเลือดสูงขึ้น โดย N-telopeptide นี้จะทำให้กระดูกเปราะได้ง่ายจากนั้น ทีมวิจัยได้ให้ผู้หญิงกลุ่มเดิมรับประทานมะเขือเทศที่มีปริมาณไลโคพีน 15 มิลลิกรัม ทั้งในรูปแบบแคปซูล และรูปแบบอื่น ๆ ซึ่งผลก็พบว่ามะเขือเทศสามารถลดระดับ N-telopeptide ในเลือดให้ลดลงได้ จากการวิจัยดังกล่าว นักวิจัยจึงสรุปได้ว่า มะเขือเทศนั้นมีคุณประโยชน์ต่อกระดูกมากมาย ดังนั้น การรับประทานมะเขือเทศสกัดในรูปแคปซูล หรือจะเป็นน้ำมะเขือเทศคั้นสดวันละ 2 แก้ว ก็สามารถเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงขึ้น และยังลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย






วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เครื่องดืมสมุนไพรวันนี้

แนะนำเครื่องดื่มน้ำสมุนไพรช่วยคลายวิกฤตร้อน-แล้ง

class="alignright size-full wp-image-882" title=muchroomdrink v:shapes="_x0000_s1026">






    ชัยนาท - น.พ.พิทยา ไพบูลย์ศิริ นายแพทย์สาธารณสุข จ.ชัยนาท กล่าวว่า จากสภาพอากาศที่ร้อนจัด สธ.ชัยนาท ได้ดำเนินการ 2 เรื่อง คือ ให้เฝ้าระวังประชาชนกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคไต ที่อาจจะเจ็บป่วย หรือเสียชีวิตจากภาวะภัยแล้งและอากาศร้อน โดยควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือทำงานในช่วงที่อากาศร้อนจัด ให้หยุดพักบ่อยๆ หรือทำงานในที่ร่มแทน ส่วนอีกเรื่องคือ ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนในการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง โดยสวมเสื้อผ้าบางๆ เพื่อให้ซับเหงื่อและป้องกันความร้อนเข้าสู่ร่างกายโดยตรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานผักผลไม้ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจทำให้เกิดการเสียชีวิตได้ และหันมาดื่มน้ำเปล่าไม่ต่ำกว่า วันละ 10 แก้ว การดื่มน้ำสมุนไพรไทยที่อยู่ใกล้บ้านใกล้ตัวโดยทำเองที่บ้าน ที่มีสรรพคุณดับกระหาย ช่วยคลายร้อนได้ เบื้องต้นมี 6 ชนิด ได้แก่ มะตูม ใบเตย บัวบก ฝาง ดอกเก๊กฮวย และน้ำตรีผลา ซึ่งประกอบด้วยสมุนไพร 3 ชนิดคือ สมอไทย สมอพิเภก และมะขามป้อม สมุนไพรดังกล่าวเป็นเครื่องดื่ม บำรุงร่างกาย โดยประชาชนสามารถนำมาต้ม ไม่ต้องใส่น้ำตาล เพื่อให้ทั้งผู้ที่มีโรคประจำตัวและปกติทั่วไปสามารถใช้ดื่มแทนน้ำเปล่าได้ สำหรับฝาง เป็นสมุนไพรที่ใช้กันมานานกว่า 50 ปี มีสรรพคุณแก้ร้อนใน ใช้บำรุงเลือดในผู้หญิง ทำให้ผิวพรรณดี ส่วนบัวบกมีสรรพคุณแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ทำให้สดชื่น แก้อักเสบหรือช้ำใน ส่วนใบเตย มีสรรพคุณลดอาการกระหายน้ำ แก้อ่อนเพลีย บำรุงหัวใจ ทำให้ชุ่มชื่นขึ้น
สิ่งที่คิดคือสิ่งที่หวัง
สิ่งที่ทำคือสิ่งที่เห็น

สมุนไพรบำรุงผิวหน้า

สูตรสมุนไพรบำรุงผิวหน้า
 ว่านหางจระเข้: บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิวว่านหางจระเข้  (Aloe indica Royle)   เป็นพืชสมุนไพรชื่อทางวิทยาศาสตร์: Aloe vera Linn.   วงศ์  Liliaceae
ชื่อเรียกตามภาษาท้องถิ่น: ภาคกลางเรียก  ว่านหางจระเข้   ภาคเหนือเรียก ว่านหางจระเข้   ภาคอีสานเรียก  ว่านหางจระเข้,ว่านแข้,หว่านตะแข่,หว่านตะเข้  เขมรในถิ่นไทยเรียก ประเตียล,กระปือ   ภาคใต้เรียก  หว่านเข้
ส่วนที่นำมาใช้มี 2 ส่วน คือ: ส่วนที่ 1. ยางจากใบ  โดยการทำให้แห้งเป็นก้อน เรียกว่า ยาดำ  นำมาใช้เป็นยาระบาย   ส่วนที่ 2.  ส่วนที่เป็นวุ้น
สารที่มีประโยชน์: สารอะโลอิน (aloin) และสารอื่นๆ  มีฤทธิ์ยับยั้งเอ็นไซม์  ไทโรซิเนส (tyrosinase) ซึ่งอยู่ใต้ผิวหนัง
สรรพคุณทางยา: ส่วนที่เป็นวุ้น  1.ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อ ช่วยสมานห้ามเลือด ระงับปวด  2.รักษาโรคผิวหนัง,แผลเรื้อรัง,เริม,งูสวัด   3.ลบรอยแผลเป็น, แก้ผื่นคันจากการแพ้สารต่างๆ  4. แก้ขี้เรื้อนกวาง,ผื่นปวดแสบปวดร้อน,แก้พิษแมลง,แมงกะพรุน,ใบตำแย   5.รักษาโรคกระเพาะอักเสบ,ท้องผูกบำรุงร่างกาย,ขับพิษ
สรรพคุณในเครื่องสำอาง:  1.ใช้วุ้นของว่านหางจระเข้ ผสมในแชมพู  ครีมนวดผม   2.ผสมครีมบำรุงผิว ลบจุดด่างดำ ลดฝ้าบนผิวหนัง
3.ใส่ผม ทำให้ผมหงอกช้า  เป็นเงางาม   4. ใช้ส่วนที่เป็นวุ้นพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ถึง 1 ช.ม  แล้วล้างออก ช่วยดูดสิวเสี้ยนและฆ่าเชื้อบนผิวหน้า
ภูมิปัญญาชาวบ้าน: ไฟใหม้  น้ำร้อนลวก ใช้วุ้นทาเพื่อป้องกันรอยแผลเป็น

ว่านหางจระเข้  (Aloe indica Royle)  
  คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า มีแชมพูสระผม และเครื่องสำอางหลายอย่าง ที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติสามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึม ทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด ฉะนั้น
ว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้ เพื่อบำรุงผิวพรรณ ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่า ว่านหางจระเข้มีส่วนช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิว และลบรอยจุดด่างดำได้ด้วยการใช้ว่านหางจระเข้ เพื่อบำรุงผิว โดยปอกเปลือกออก
ใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใส ที่อยู่ภายใน ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแพ้ ก่อนใช้ควรตรวจสอบว่า ตนเองจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำที่ได้จากวุ้นสีขาว ของว่านหางจระเข้ ทาตรงบริเวณโคนหู แล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดง แสดงว่าไม่แพ้ ไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวหน้า
อีกต่อไป ถ้าไม่มีอาการแพ้ ก็สามารถใช้ได้ตลอด แต่บางคนก็จะเห็นผลได้เหมือนกัน เมื่อใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว จะทำให้หัวสิวแห้งเร็ว นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังสามารถลดความแห้งกร้าน และลดความมันของผิวหน้าได้ โดยคนที่มีผิวมัน ก็จะช่วยให้ลดความมัน คนที่มีผิวหน้าแห้ง
ก็ยังรักษาความชุ่มชื่นของผิวไว้ได้

 สรรพคุณ บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิว
ส่วนผสม  ว่านหางจระเข้
วิธีทำ เลือกใบจากต้นว่านหางจระเข้ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยเลือกใบล่างสุดซึ่งจะอวบโต มีวุ้นมาก นำมาแช่น้ำเพื่อล้างยางเหลืองๆ ออกให้หมด(ยาง เหลืองมีฤทธิ์ระคายเคืองผิว ทำให้แสบร้อน เป็นผื่นแดง) จากนั้นปอกเปลือกออก แล้วเอาวุ้นที่ได้ล้างน้ำให้สะอาดอีกทีหนึ่ง นำวุ้นไปปั่นหรือใช้มือขยำ ก็จะได้เจลว่าน หางจระเข้ การใช้ว่านหางจระเข้สดได้ผลดีกว่าผลิตภัณฑ์
แปรรูป ซึ่งจะมีปัญหาการคงตัวเมื่อถูกความร้อน
วิธีใช้ ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้ง แล้วใช้เจลพอกทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตาและรอบปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก
สูตรนี้เหมาะ สำหรับคนผิวมันสำหรับคนผิวแห้ง ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้เดี่ยว ๆ ควรเติมน้ำมันมะกอกกับไข่แดง ตีให้เข้ากัน แล้วจึงพอกหน้า
ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดหมายเหตุ ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้กับสิวหัวหนอง เพราะฟิล์มจากว่านจะทำให้สิวหายช้า

แตงกวา (Cucumis sativas Linn.)
  แตงกวา จะมีวิตามินสูง ในผลแตงกวายังมีเอ็นไซม์ cryssin ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนได้ เอ็นไซม์ชนิดนี้ จะช่วยย่อยผิวหนังที่หยาบกร้าน ให้หลุดออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่อ่อนนุ่ม เกิดขึ้นมาแทนที่ บางคนใช้แตงกวาสด ผ่าเป็นชิ้นบางๆ วางบนใบหน้าที่ล้างสะอาด แทนน้ำแตงกวา ปัจจุบัน มีน้ำแตงกวาผสมในเครื่องสำอาง เช่น ครีมล้างหน้า ครีมทาตัว เพื่อช่วยให้ผิวไม่หยาบกร้าน และช่วยสมานผิว แตงกวาเป็นสมุนไพร ที่หาง่าย มีประโยชน์ ราคาถูก ใช้ติดต่อกับเป็นประจำ จะทำให้สวนสดชื่น มีน้ำมีนวล
   สรรพคุณ : สมานผิว ลบรอยเหี่ยวย่น
  ส่วนผสม    แตงกวา 1 ผล
 ไข่ขาวจากไข่ไก่ 1 ฟอง   น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
วิธีทำ ปอกเปลือกแตงกวาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปปั่นให้ละเอียด เติมไข่ขาวและน้ำมะนาวปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้ครีมพอกหน้าแตงกวา
วิธีใช้ ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้ง ใช้ครีมแตงกวาพอกให้ทั่วหน้า ยกเว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ 20 นาทีล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้เหมาะ กับคนผิวมัน สำหรับคนผิวแห้ง ให้นำแตงกวาไปตุ๋นจนเละแล้วกรองเอาเฉพาะน้ำมาทาหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

 มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum Mill.) : สมานผิว ลดรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ
  ในมะเขือเทศ จะมีสาร Curotenoid และมีวิตามินหลายชนิด น้ำจากผลมะเขือเทศสุก จะมีสาร licopersioin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา และแบคทีเรีย และน้ำมะเขือเทศสด นำมาพอกหน้า จะรักษาสิวสมานผิวหน้าให้เต่งตึง หรืออาจจะฝานบางๆ แปะลงบนผิวหน้าก็ได้
 สรรพคุณ     สมานผิว ลดรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ
ส่วนผสม      มะเขือเทศ 1 ผล     รำข้าวหรือข้าวโอ๊ต  1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ นำมะเขือเทศไปปั่นหรือบดให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำผสมรำข้าวหรือข้าวโอ๊ตคนให้เข้ากัน
วิธีใช้  ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้งพอกครีมมะเขือเทศทิ้งไว้นานเท่าที่มีเวลาแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ในมะเขือเทศมีวิตามินเอมาก ซึ่งเป็น วิตามินที่ละลายได้ดีในน้ำมัน การใช้รำข้าวหรือข้าวโอ๊ตเป็นส่วนผสม เพื่อให้น้ำมันในรำข้าวหรือข้าวโอ๊ตเป็นตัวพาวิตามินเอเข้าสู่เซลผิวหน้าได้ดีกว่า การฝานมะเขือเทศมาแปะหน้าเพียงอย่างเดียว สูตรนี้ใช้ได้ทั้งคนผิวแห้งและผิวมัน

ขมิ้นสด: บำรุงผิวหน้าผุดผ่องสดใสอ่อนวัย และช่วยให้สิวยุบเร็ว
  สูตรผสม      ขมิ้นสด (เล็กน้อย)   ดินสอพอง 2-3 เม็ด
มะนาว 1 ผล
วิธีผสม   นำขมิ้นสดมาล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นรวมกับดินสอพองและมะนาว จนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้นและเหนียวใช้สำหรับนำมาพอกกับหน้าที่สะอาดแล้วก่อนเข้านอน โดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกผิวหน้าสดชื่นและเต่งตึงขึ้นด้วย ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 - 4 ครั้งภายในเวลาไม่ถึงเดือนจะสังเกตเห็นว่าผิวหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงจนสามารถสังเกตได้มะนาว จะทำให้ผิวนวลเนียนขึ้นสามารถสัมผัสได้ และเมื่อผสมรวมกันกับผักแว่น ก็จะยิ่งทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 กล้วยน้ำว้าสุก :  บำรุงผิวนุ่มเนียนอ่อนวัย
 ชื่อท้องถิ่น  :   กล้วยมณีอ่อง (ภาคเหนือ) กล้วยทะนีอ่อง (อีสาน) กล้วยอ่อง , มะลิอ่อง กล้วยใต้    ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Musa ABB group (triploid) cv. 'Namwaa'
วงศ์  :  MUSACEAE      ชื่อสามัญ : Banana    กล้วยน้ำว้า คุณค่าคับผล จะสุกจะดิบก็อร่อยได้สารพัด
  ในบรรดาความหลากหลายของสายพันธุ์กล้วยที่มีอยู่ในเมืองเรา ไม่ว่าจะเป็นกล้วยหอมทอง กล้วยหอมเขียว กล้วยไข่ กล้วยหักมุก กล้วยเล็บมือนาง กล้วยนาก และกล้วยน้ำไท คงไม่มีกล้วยชนิดไหนที่คนไทยเราจะนิยมบริโภคมาเป็นอันดับหนึ่ง เท่ากับกล้วยน้ำว้า ซึ่งทิ้งห่างอันดับสองแบบไม่เห็นฝุ่นเพราะนอกจากกล้วยน้ำว้าจะมีราคาไม่แพงหูฉี่เหมือนกล้วยหอมแล้ว ยังหาซื้อได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก ไปเดินตลาดที่ไหนก็มีขายกันเกร่อ
 เท่าที่รู้กล้วยน้ำว้าของเรานั้นเป็นยอดของผลไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งแทบจะหาที่ติไม่ได้เลย นอกจากจะซื้อง่ายขายถูกแล้ว ยังมีรสหวานพอเหมาะพอดี กินง่าย แปรรูปได้สารพัด ผลมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ไม่ว่าจะทำดิบ ทำสุก หยวกก็กินดี ปลีก็กินอร่อย แถมพ่วงติดมาด้วยความเป็นสมุนไพรที่ใช้ประโยชน์ได้อีกตั้งมากมาย พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า “คุณค่าคับผล” จริงๆ
 และเพื่อให้เห็นความดีของกล้วยน้ำว้าอย่างชัดๆ ตอนนี้จึงขอกล่าวเฉพาะด้านสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์เราโดยตรงว่ายอดเยี่ยมอย่างไร ส่วนประโยชน์ทางอ้อมที่เกี่ยวกับการใช้เป็นยารักษาโรคหรือการเจ็บป่วยนั้นจะกล่าวถึงอีกครั้งในโอกาสต่อไปก็แล้วกัน
 ในส่วนของผลไม่ว่าจะกินแบบสุก – ดิบอย่างไรก็ให้พลังงาน (แคลอรี) โปรตีน ไขมัน (ต่ำ) วิตามินบี1 บี2 และไนอาซินปริมาณเท่ากันเป๊ะ แต่ถ้ากินผลดิบจะมีภาษาเหนือกว่าผลสุกๆในส่วนของเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และฟอสฟอรัสที่ค่อนข้างชัดเจน
  ใครที่ชอบกินปลีกล้วยก็จงดีใจเถอะ เพราะมากด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซี แถมยังมีเบต้าแคโรทีนติดมาในปริมาณมากด้วย ส่วนหยวกที่กินอร่อยนั้นก็โดดเด่นตรงที่ให้วิตามินบี2 สูงสุด
กล้วยน้ำว้าสุก :  บำรุงผิวนุ่มเนียนอ่อนวัย
ส่วนผสม    
            1. กล้วยน้ำว้าสุก 1 ผล
           2. น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนแกง
วิธีทำ     ให้ใช้กล้วยน้ำว้าสุก 1 ผลกับน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนแกง ปั่นรวมกันให้เป็นเนื้อครีมข้น
วิธีใช้    ให้ทาครีมให้ทั่วผิวหน้า (เว้นรอบดวงตาและปาก) ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นทำประจำจะช่วยให้ผิวหน้านุ่มเนียน